วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ปราชญ์ พุทธ เต๋า สามศาสนาหลักเดียวกัน พุทธะอริยะถ่ายทอดวิถีจิต

     ท่ามกลางจักรวาลฟ้าดิน มหาธรรมล้ำค่าที่สุด พระอนุตตรธรรมารดา แม่ฯนั้นสูงส่งที่สุด การเปลี่ยนแปลงในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมลง และดับไปของอนุตตรภาวะ ปฐมภาวะและรูปภาวะนั้น ล้วนก่อเกิดและสรรค์สร้างจากแม่ฯ ไตรภพทศทิศแม่ฯเป็นผู้ควบคุม ไม่ว่าจะเป็นพุทธะอริยะในอนุตตรภูมิ หรือปุถุชนในโลกมนุษย์ล้วนได้รับการบ่มเพาะมาจากต้นกำเนิดดวงญาณเดียวกัน

     พุทธบุตรทั้งหลายต้องรีบเร่งฟื้นฟูจิตญาณอันสว่างไสวของตนเอง เข้าใจสัจธรรม ศึกษาค้นคว้าหลักธรรมฟ้า กระจ่างแจ้งความอัศจรรย์ของจิตญาณที่ไม่เกิดไม่ดับ สภาวะเดิมของธรรมนั้นเป็นความว่าง การสำแดงศักยภาพของธรรมะคือความมี รากฐานของความมีและความว่างคือหนึ่ง ธรรมะก่อเกิดและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง สภาวะเดิมของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น คือความว่าง รูปนั้นมาจากความว่าง สุดท้ายแล้วรูปคืนสู่ความว่าง แต่ว่าสัจธรรมแห่งอนุตตรภาวะไม่ใช่รูปและไม่ใช่ความว่าง

     นึกถึงยามแรกเริ่มนั้น สภาวะอินและหยังยังไม่ได้แยกออกจากกัน ฟ้าและดินคละเคล้าเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นเพียงดวงญาณดวงหนึ่ง ไร้กลิ่นไร้เสียง เป็นอนุตตรภาวะ เมื่ออนุตตรภาวะเคลื่อนขยับ ก็จะสำแดงศักยภาพ โดยสภาวะอินเคลื่อนตัวลงมา สภาวะหยังลอยตัวขึ้นปรากฏเป็นปฐมภาวะ จากการเคลื่อนขยับและนิ่งสงบของสภาวะอินกับหยัง จึงก่อเกิดสามคุณ(ฟ้า ดิน และคน) อีกทั้งแยกออกมากลายเป็นจตุรภาวะ (ไท่หยัง ส้าวหยัง ไท่อิน ส้าวอิน) แล้วกลายเป็นการหมุนเวียนของเบญจธาตุ : ทอง(โลหะ) ไม้ น้ำ ไฟ ดิน
     การหมุนเวียนของสภาวะอินและหยังในหนึ่งเดือน แ่บ่งออกเป็นหกสภาพอากาศ และมีดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดวงจันทร์ ดวงอาิทิตย์ เจ็ดดวงดาวเคลื่อนโคจร อีกทั้งแผนภูมิแปด : เฉียน ต้วย หลี เจิ้น ซวิ่น ขั่น เกิ้น และคุน ต่างทำปฏิกิริยาต่อกัน ก่อให้เกิดเป็นสรรพสิ่ง แผนภูมิแปดเรียงรายอยู่แปดตำแหน่ง ตรงกลางมีปฐมภาวะควบคุมอยู่ รวมเป็นเก้าตำแหน่งทำให้สรรพสิ่งสมดุลกลมกลืน เมื่อสภาวะอินและหยังในปฐมภาวะเคลื่อนขยับก็เกิดการหมุนเวียนของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมลงและดับไป จากนั้นสรรพสิ่งสรรพสัตว์จึงก่อเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

   เมื่อกล่าวถึงความอัศจรรย์ของการก่อเกิดและแปรเปลี่ยนในโลกมนุษย์ อีกทั้งการเคลื่อนขยับและนิ่งสงบของความว่างในอนุตตรภูมิ มีสักกี่คนจะเข้าใจกระจ่าง? สัจธรรมแห่งอนุตตรภาวะหรือปฐมญาณเป็นความว่าง มีความวิสุทธิ์สงบที่สุด ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาวะอินหยังและเบญจธาตุ ไม่เพิ่มไม่ลด แม้จะไม่มีรูปลักษณ์ให้ได้เห็น แต่ก็มีอยู่จริง

ไม่มีสีใดๆ ไม่มีร้อนไม่มีหนาว อีกทั้งมิได้เคลื่อนขยับหรือนิ่งสงบอยู่ตลอด แต่กลับเป็นต้นกำเนิดในการก่อเกิดและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง หลักธรรมอันอัศจรรย์ล้วนซ่อนเร้นอยู่ในนี้

    ความอัศจรรย์ของมหาธรรมในสภาวะเดิม และการสำแดงศักยภาพอย่างกว้างขวางหรือละเอียดซ่อนเร้นนั้น ไร้รูปลักษณ์ร่องรอยให้เสาะหาได้ ธรรมะครอบคลุมสรรพสิ่งแต่มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน ธรรมะเป็นไปตามธรรมชาติ แต่สนองตอบและหล่อเลี้ยงได้อย่างไม่สิ้นสุด ธรรมะดำเนินโดยไม่หมายมั่นเจาะจง แต่ปรับแปรทุกอย่างได้ ไม่มีเจตนาจะแสดงความสามารถ แต่เสริมสร้างทุกอย่างได้ ธรรมะคือผู้ควบคุมฟ้าดินและสรรพสิ่ง เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง สามารถก่อเกิด หล่อเลี้ยง และแทรกซอนอยู่ในสรรพสิ่งทั่วไตรภูมิทศทิศสัจธรรมในอนุตตรภาวะนี้สูงส่งที่สุด อยู่เหนือกามภูมิ รูปภูมิ อรุปภูมิ และสวรรค์เก้าชั้น อีกทั้งลุ่มลึกครอบคลุมไปถึงนรกทั้งสิบขุม

   สัจธรรมแห่งอนุตตรภาวะแทรกซอนไปทั่วทุกที่ ครอบคลุมไปทั่วฟ้าดินและสามภพทำให้สัตว์ปีก สัตว์น้ำ สัตว์บก และพืชต่างดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หากสรรพชีวิตไม่ได้อยู่ในหลักสัจธรรมก็มิอาจดำรงชีวิตอยู่ได้

   สัจธรรมที่ควบคุมการโคจรจักรวาลและฟ้าดินนี้ ฝืนให้ชื่อว่า ธรรมะหรือเจินอี (เจินอี เป็นคำกล่าวในศาสนาเต๋า หมายถึง ประคองรักษาจิตเดิมที่บริสุทธิ์ไร้การปรุงแต่ง) ธรรมะเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง เป็นสภาวะเดิมของอนุตตรภาวะที่เป็นนิรันดร์ ธรรมะอยู่ที่ฟ้าฟ้าสดใส การเคลื่อนโคจรเป็นไปตามธรรมชาติ มีดวงดาว ตะวัน จันทราเคลื่อนโคจรมีสภาวะอินหยังในปฐมภาวะไหลเวียนไปทั่ว ธรรมะอยู่ที่ดิน ทำให้เกิดการก่อตัวผนึกขึ้นเป็นภูเขา ลำธาร แม่น้ำ ทะเล อีกทั้งชโลมชุบเลี้ยงสรรพชีวิต การก่อเกิดและเจริญเติบโตของสรรพสิ่ง ล้วนอาศัยพลังธรรมชาติมาเสริมสร้าง ธรรมะอยู่กับมนุษย์ มนุษย์ก็มีชีวิต จึงมีความรู้สึกนึกคิด มีพฤติกรรมต่างๆ ทุกคนต่างก็มีธรรมญาณที่มาจากอนุตตรภูมินี้แล้วแต่น่าเสียดายที่ไม่รู้จักที่จะย้อนกลับมาแสวงหา จึงไม่อาจหลุดพ้นเกิดตายได้

   ปราชญ์ พุทธ เต๋า สามศาสนาหลักเดียวกัน สามศาสดา ล้วนรับพระบัญชาจากแม่ฯมาฉุดช่วยชาวโลก สิ่งที่ถ่ายทอดล้วนคือหลักวิถีจิตอันอัศจรรย์ที่ไร้รูปลักษณ์ จิตญาณนี้ ศาสนาเต๋าเรียกว่า ญาณวิเศษ
ศาสนาพุทธเรียกว่า วัชรญาณ ศาสนาปราชญ์เรียกว่า ธรรมญาณ ถึงแม้ชื่อที่เรียกจะไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นสิ่งเดียวกัน หลายพันปีที่ผ่านมา ศาสนามีหลากหลาย แต่สัจธรรมมีเพียงหนึ่งเดียว เป็นเอกวิถีที่เทพเซียนพุทธะอริยะถ่ายทอดจากปากสู่จิต ล้วนคือหลักวิถีจิตนี้

   เมื่อเข้าใจหลักวิถีจิตก็สามารถกระจ่างแจ้งแทงตลอดในสรรพธรรมและพระสูตรคัมภีร์ทั้งปวง ตั้งแต่สามศาสดากลับคืนสู่อนุตตรภูมิแล้ว ก็หยุดการถ่ายทอดวิถีจิต เหลือไว้เพียงพระสูตรคัมภีร์กล่อมเกลาชาวโลก จวบจนบัดนี้ประมาณสามพันปีแล้ว ไม่มีใครเข้าใจถึงความอัศจรรย์เร้นลับของธรรมอย่างแท้จริง ลัทธิศาสน์มากมายต่างเฟื่องฟู แต่ก็ยังไม่ได้นำพาเข้าสู่หนทางตรง หลักวิถีจิตนี้จึงไม่มีใครเข้าใจ

   บัดนี้ยุคไป๋หยัง สนองเกณฑ์วาระเปิดการปกโปรดครั้งใหญ่ วิถีธรรมโปรดลงสู่โลกงานชุมนุมหลงฮว๋าครั้งใหญ่นี้ ฟ้าเบื้องบนจะเลือกเฟ้นผู้มีคุณธรรมและความสามารถ เพื่อแพร่ประกาศธรรมวิถียุคไป๋หยังให้รุ่งเรืองกว้างไกล ด้วยการสืบสานสัจธรรมแห่งอนุตตรภูมิ แพร่ประกาศวิถีจิตของสามศาสนา อีกทั้งจุดประกายให้แก่เวไนยตื่นแจ้งในจิตญาณร่วมกันขึ้นสู่เรือธรรม ปริศนาแห่งอนุตตรยานที่พระอริยะทั้งหลายไม่ถ่ายทอดกันโดยง่าย ใครเล่าจะเข้าใจ? คิดจะแสวงธรรมจริงและได้รับการถ่ายทอด ก็ต้องรีบเสาะหาบรรพจารย์กงฉังผู้เป็นวิสุทธิอาจารย์ ผู้ที่ได้รับธรรมแล้วจะต้องอาศัยสิ่งสมมุติบำเพ็ญจิตญาณ รีบเร่งสร้างกุศลบ่มเพาะคุณธรรม ยิ่งจะต้องแยกแยะให้กระจ่างชัดว่าอะไรจริงอะไรปลอม มีเพียงธรรมะเท่านั้นที่ดำรงอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกสุดท้ายก็คืนสู่ความว่าง

   มนุษย์อยู่ในโลกนี้ เล็กมากเหมือนดั่งเมล็ดข้าวที่อยู่กลางมหาสมุทร ถูกเกลียวคลื่นซัดไปซัดมา พาให้หลงทิศทาง อีกทั้งจิตญาณยังลุ่มหลงไปกับสุรา นารี พาชีกีฬาบัตร ปล่อยไปตามอารมณ์เจ็ด และตัณหาหก ยิ่งทำให้จิตญาณอันสว่างไสวถูกบดบังไป

   คลื่นทะเลแห่งความอยากซัดสาดถาโถมไม่เคยหยุด ความรักความผูกพันคือชื่อคล้องยากพ้นจากพันธนาการ โลภหลงอยู่ในความฟุ้งเฟ้อชื่อเสียงลาภยศ ล้วนเป็นการผูกมัดตนเองทั้งสิ้น ถึงแม้ว่ายศบรรดาศักดิ์ความร่ำรวยเหมือนดั่งฟ้าแลบ หรือประกายไฟที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่กรรมเวรที่ก่อไว้นั้น ไม่ว่าผ่านไปกี่ภพกี่ชาติก็ยากหลุดพ้นได้ ผู้ที่จิตลุ่มหลงไขว่คว้าแต่สิ่งจอมปลอมไหนเลยจะถ่องแท้ว่าโลกโลกีย์นั้นเป็นสิ่งสมมุติ? ล้วนเห็นสิ่งสมมุติเป็นสิ่งจริงแท้ หาความสุขท่ามกลางทะเลทุกข์ มีชีวิตที่ต่ำต้อยดั่งมดดั่งแมลงเช่นนั้น

   คนมีชีวิตอยู่ประมาณร้อยปี แต่ก็เหนื่อยยากลำเค็ยถึงสามหมื่นหกพันวัน ทำไมไม่ลองคิดดูว่ากายใจได้สงบสุขสักกี่วัน? ตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยกลางคนจวบจนแก่เฒ่า และถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ลิ้มลองมาทุกรสชาติของชีวิต หากไม่ใ่ช่รู้สึกเคว้งคว้างก็รู้สึกหดหู่ใจ ใครเล่าจะหลบพ้นทุกข์ระทมแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย วันเวลาที่ไร้เยื่อไย จากเด็กน้อยชั่วพริบตาเดียวก็กลับกลายเป็นคนเฒ่าชรา

   เกิดมาก็มาแต่ตัว ตายไปก็ไปแต่ตัว อะไรก็นำไปไม่ได้ สุสานยังคงอยู่ แต่วิญญาณต้องลงขุมนรก ถึงแม้จะเป็นขุนนางตำแหน่งสูงส่งเพียงใด กฏสวรรค์ตัดสินบุญบาปด้วยความยุติธรรม กฏแห่งกรรมทำเองรับเอง จะต้องไปรับกรรมโดยไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเดรัจฉานนั่นก็ไม่อาจเลือกเองได้

   ตั้งแต่เกณฑ์ขาลจนบัดนี้เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว เกิดตายเวียนว่ายไม่สิ้นสุด ยากจะพรรณาถึงความกล้ำกลืนและความเศร้าวังเวง วิญญาณออกจากร่างนี้ไปเข้าร่างนั้น เหมือนดั่งย้ายบ้านเปลี่ยนที่พักพิง บางชาติเกิดเป็นชายบ้างสกุลจาง บางภพเกิดเป็นหญิงสกุลหลี่บทบาทการแสดงของชีวิตปิดฉากเหลือแต่ความว่างเปล่า ยิ่งเวียนว่ายแปรเปลี่ยนก็ยิ่งลุ่มหลงยิ่งถลำลึกก็ยิ่งตกต่ำ ลืมสิ้นแม่ฯผู้ให้จิตญาณแก่เจ้า

   มนุษย์มาจากฟ้าเบื้องบน ล้วนคือญาณที่แบ่งมาจากแม่ฯ ดวงธรรมญาณนี้แม้ว่าจะเป็นอริยะก็ไม่ได้มากขึ้น เป็นปุถุชนก็ไม่ได้น้อยลง มีต้นกำเนิดเดียวกัน หากสามารถตื่นแจ้งแล้วคืนสู่จิตเดิมได้ ก็สามารถบรรลุเป็นอริยะปราชญ์สถิตอยู่ในแดนสุขาวดีตลอดไป หากยังหลงใหลอยู่ในโลกีย์เห็นปลอมเป็นจริง ก็คือปุถุชนต้องรับความทุกข์ทรมานอยู่ในความมืดมิดตลอดไป

   อริยะปราชญ์เซียนพุทธะล้วนบำเพ็ญสำเร็จมาจากมนุษย์ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นว่าพอเกิดมาก็เป็นเซียนพุทธะเลย หวังว่าลูกทั้งหลายเร่งรีบถ่องแท้ในจริงและปลอม แปรเปลี่ยนจากลุ่มหลงเป็นตื่นแจ้ง กราบขอรับวิถีธรรมจากวิสุทธิอาจารย์ ฟื้นฟูโฉมหน้าเดิมคืนสู่ต้นกำเนิด กลับมาหาแม่ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น