วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

มหาธรรมฟ้าปางก่อน - 關聖帝君慈悲


สามศาสนาหลักเดียวกัน
พระโอวาทกวนเซิ่งตี้จวินเมตตา (关圣帝君)

มหาธรรมฟ้าปางก่อน เป็นสุญตาและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
การผันแปรของจักรวาล มีธรรมเป็นหลัก
จากสุญตาก่อเกิดทวิภาวะ
จนกลายเป็นปากว้า(แผนภูมิปฐพีแปด - โป๊ยก่วย) คือแกนกลางขับเคลื่อนสรรพสิ่ง
พระวจนะแห่งสามศาสนาแฝงด้วยความหมายอันลึกล้ำ
ใครเล่าจะรู้แจ้งปริศนาการสร้างสรรค์อันแยบยล

ดำรงจิตหล่อเลี้ยงธรรมญาณ
ประคองความเป็นกลางหนึ่งแจ้งแทงตลอด
รากฐานของศาสนาปราชญ์
เห็นชาวประชาดั่งพี่น้อง เห็นสรรพสิ่งคือเหล่าเดียวกัน
ส่งเสริมคุณสัมพันธ์ห้า ทำสุดกำลัง เอาใจเขามาใส่ใจเรา
สรรค์สร้างและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งร่วมกับฟ้าดินได้
ศึกษาให้ึถึงแก่นธรรมเข้าถึงธรรมญาณ ฟ้าและคนร่วมสมานกัน
หลักทางสายกลางแต่ไรมาไม่อาจเปลี่ยนแปลง

กระจ่างจิต แจ้งธรรมญาณ
สรรพธรรมคืนสู่ความเป็นหนึ่ง
หลักคำสอนของพระพุทธองค์ จิตว่างไร้อาสวะ
เมตตาปกโปรดมวลเวไนย ขจัดสามใจ สี่ลักษณะ
ชูดอกไม้แสดงปริศนา ณ เขาคิชกูฎ
วัชรสูตรยิ่งนานวันยิ่งจำรัส

บำเพ็ญจิตเคี่ยวกรำธรรมญาณ
สำรวมจิตรักษาความเป็นหนึ่ง
อุดมคติแห่งเหลาจื่อ เมื่อวิสุทธิ์สงบสรรพสิ่งคืนสู่จิตเดิม
ดำเนินอย่างไม่หมายมั่นเจาะจง ร่วมสรรค์สร้างและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง
การถอยคือการรุกแม้จะแกร่งก็ต้องรู้อ่อนน้อม
อัศจรรย์ดุจมังกรบนฟ้า
เต้าเต๋อจิงกล่าวไว้ ความนิ่งและเคลื่อนไหวแฝงด้วยความแยบยลแห่งธรรมชาติ

พึงเข้าใจให้ถ่องแท้
สามศาสนามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน
เหล่าสานุศิษย์ที่ไม่เข้าใจ ต่างแยกตัวตั้งนิกาย
ไม่เทศน์ธรรมซ้ำยังใส่ร้ายกัน ช่างน่าสงสารและเศร้าใจนัก
ทุกศาสนาล้วนมีจุดประสงค์เดียวกัน
แต่กลับเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ทำให้เกิดความมืดมน

เซียนพุทธะ เทพอริยะ เสียสละตนฉุดช่วยเวไนย
มารทดสอบนานัปการผ่านไปทีละด่าน
แม้ว่าศาสนาจะต่างกันแต่หลักธรรมเดียวกัน
คุณประโยชน์เสมอกันไม่มีใครสูงใครต่ำ
ถกเถียงกันไม่ใช่ว่าจะดี
สงบนิ่งลงแล้วไม่สัมผัสรู้เอง
สร้างกุศลจริงบ่มเพาะคุณธรรมจึงเป็นหลักสำคัญ

น้ำมีต้นธาร ไม้มีรากเหง้า
มนุษย์ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐ คือหนึ่งในสามคุณ
จิตใจเวิ้งว้างและเหนื่อยล้า เพื่อกายสังขารจิตลุ่มหลง
เรื่องเกิดตายช่างเลือนลางไร้ที่พึ่ง
แต่ละคนเมื่อใกล้ตายน้ำตาร่วงริน

ในเมื่อกราบวิสุทธิอาจารย์ รับหนึ่งจุดชี้รู้ที่มาที่ไป
ผิดบาปที่ผ่านมา ทีละอย่างๆ ชะล้างสิ้น
บ่มเพาะจิตย้อนมองส่องตน ตั้งอกตั้งใจฉุดช่วยชาวโลก
สามมิเสื่อม คืองานอันแท้จริง
เกริกก้องสะท้านพิภพชั่วนิรันดร์

อันชื่อเสียงลาภยศร่ำรวยสูงศักดิ์ ทั้งต่ำแหน่งอำมาตย์เสนาบดี
จากอดีตกาลจวบจนบัดนี้ ชาวโลกมุ่งไขว่คว้า
แม้ชีวายังยอมทิ้ง โลภเสพสุขกับสิ่งตรงหน้า
เหน็ดเหนื่อยตรากตรำอย่างไร้แก่นสาร
จนสุดท้ายลาภยศชื่อเสียงบรรดาศักดิ์ดั่งควันจางหายไป

เมตตา มโนธรรม จงรักภักดี สัจจะ ใจบุญสุนทาน
มหาบุรุษจากอดีตถึงปัจจุบัน
ต่างยึดถือสิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ตน
บากบั่นต่อสู้เป็นตายไม่ใส่ใจ
ฉุดช่วยผู้คนทั่วหล้าถือเป็นหน้าที่ตน
ช่างสูงส่งยิ่งแม้ทั้งชีวิตไม่เหลือสิ่งใด
แต่บรรลุสู่อริยะฐานะระบือนามชั่วนิรันดร์

อริยะฐานะกับบรรดาศักดิ์ทางโลก แยกแยะละเอียดชัด
บุญวาสนาทางโลกนั้นแสนสั้นและสูญไปง่าย
บุญวาสนาทางธรรมนี่สิไม่จางหาย
สละสิ่งที่ไม่สำคัญเลือกทำในสิ่งที่สำคัญ
จึงนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์
สุขในธรรมเจริญตามสุภาพชน
ชี้ตรงใจคนพร่ำสอนกล่อมเกลาแปรเปลี่ยนโลกีย์ชน

การที่ได้เป็นสัตว์ประเสริฐ อีกทั้งยังได้เป็นศิษย์พระอาจารย์
ภายนอกดูโง่เขลาแต่แฝงด้วยปัญญา
อยู่อย่างสบายอกสบายใจ
เผชิญต่อการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโดยไม่หวั่นไหว
เลือกทางที่เหมาะแล้วรักษาไว้
ไม่ว่าผองมารผจญจะขอฝ่าฟันมุ่งไป
ปรับแปรตามสภาพจิตหนึ่งใจเดียวเจริญตามพระอาจารย์





วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ปราชญ์ พุทธ เต๋า สามศาสนาหลักเดียวกัน พุทธะอริยะถ่ายทอดวิถีจิต

     ท่ามกลางจักรวาลฟ้าดิน มหาธรรมล้ำค่าที่สุด พระอนุตตรธรรมารดา แม่ฯนั้นสูงส่งที่สุด การเปลี่ยนแปลงในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมลง และดับไปของอนุตตรภาวะ ปฐมภาวะและรูปภาวะนั้น ล้วนก่อเกิดและสรรค์สร้างจากแม่ฯ ไตรภพทศทิศแม่ฯเป็นผู้ควบคุม ไม่ว่าจะเป็นพุทธะอริยะในอนุตตรภูมิ หรือปุถุชนในโลกมนุษย์ล้วนได้รับการบ่มเพาะมาจากต้นกำเนิดดวงญาณเดียวกัน

     พุทธบุตรทั้งหลายต้องรีบเร่งฟื้นฟูจิตญาณอันสว่างไสวของตนเอง เข้าใจสัจธรรม ศึกษาค้นคว้าหลักธรรมฟ้า กระจ่างแจ้งความอัศจรรย์ของจิตญาณที่ไม่เกิดไม่ดับ สภาวะเดิมของธรรมนั้นเป็นความว่าง การสำแดงศักยภาพของธรรมะคือความมี รากฐานของความมีและความว่างคือหนึ่ง ธรรมะก่อเกิดและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง สภาวะเดิมของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น คือความว่าง รูปนั้นมาจากความว่าง สุดท้ายแล้วรูปคืนสู่ความว่าง แต่ว่าสัจธรรมแห่งอนุตตรภาวะไม่ใช่รูปและไม่ใช่ความว่าง

     นึกถึงยามแรกเริ่มนั้น สภาวะอินและหยังยังไม่ได้แยกออกจากกัน ฟ้าและดินคละเคล้าเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นเพียงดวงญาณดวงหนึ่ง ไร้กลิ่นไร้เสียง เป็นอนุตตรภาวะ เมื่ออนุตตรภาวะเคลื่อนขยับ ก็จะสำแดงศักยภาพ โดยสภาวะอินเคลื่อนตัวลงมา สภาวะหยังลอยตัวขึ้นปรากฏเป็นปฐมภาวะ จากการเคลื่อนขยับและนิ่งสงบของสภาวะอินกับหยัง จึงก่อเกิดสามคุณ(ฟ้า ดิน และคน) อีกทั้งแยกออกมากลายเป็นจตุรภาวะ (ไท่หยัง ส้าวหยัง ไท่อิน ส้าวอิน) แล้วกลายเป็นการหมุนเวียนของเบญจธาตุ : ทอง(โลหะ) ไม้ น้ำ ไฟ ดิน
     การหมุนเวียนของสภาวะอินและหยังในหนึ่งเดือน แ่บ่งออกเป็นหกสภาพอากาศ และมีดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดวงจันทร์ ดวงอาิทิตย์ เจ็ดดวงดาวเคลื่อนโคจร อีกทั้งแผนภูมิแปด : เฉียน ต้วย หลี เจิ้น ซวิ่น ขั่น เกิ้น และคุน ต่างทำปฏิกิริยาต่อกัน ก่อให้เกิดเป็นสรรพสิ่ง แผนภูมิแปดเรียงรายอยู่แปดตำแหน่ง ตรงกลางมีปฐมภาวะควบคุมอยู่ รวมเป็นเก้าตำแหน่งทำให้สรรพสิ่งสมดุลกลมกลืน เมื่อสภาวะอินและหยังในปฐมภาวะเคลื่อนขยับก็เกิดการหมุนเวียนของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมลงและดับไป จากนั้นสรรพสิ่งสรรพสัตว์จึงก่อเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

   เมื่อกล่าวถึงความอัศจรรย์ของการก่อเกิดและแปรเปลี่ยนในโลกมนุษย์ อีกทั้งการเคลื่อนขยับและนิ่งสงบของความว่างในอนุตตรภูมิ มีสักกี่คนจะเข้าใจกระจ่าง? สัจธรรมแห่งอนุตตรภาวะหรือปฐมญาณเป็นความว่าง มีความวิสุทธิ์สงบที่สุด ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาวะอินหยังและเบญจธาตุ ไม่เพิ่มไม่ลด แม้จะไม่มีรูปลักษณ์ให้ได้เห็น แต่ก็มีอยู่จริง

ไม่มีสีใดๆ ไม่มีร้อนไม่มีหนาว อีกทั้งมิได้เคลื่อนขยับหรือนิ่งสงบอยู่ตลอด แต่กลับเป็นต้นกำเนิดในการก่อเกิดและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง หลักธรรมอันอัศจรรย์ล้วนซ่อนเร้นอยู่ในนี้

    ความอัศจรรย์ของมหาธรรมในสภาวะเดิม และการสำแดงศักยภาพอย่างกว้างขวางหรือละเอียดซ่อนเร้นนั้น ไร้รูปลักษณ์ร่องรอยให้เสาะหาได้ ธรรมะครอบคลุมสรรพสิ่งแต่มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน ธรรมะเป็นไปตามธรรมชาติ แต่สนองตอบและหล่อเลี้ยงได้อย่างไม่สิ้นสุด ธรรมะดำเนินโดยไม่หมายมั่นเจาะจง แต่ปรับแปรทุกอย่างได้ ไม่มีเจตนาจะแสดงความสามารถ แต่เสริมสร้างทุกอย่างได้ ธรรมะคือผู้ควบคุมฟ้าดินและสรรพสิ่ง เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง สามารถก่อเกิด หล่อเลี้ยง และแทรกซอนอยู่ในสรรพสิ่งทั่วไตรภูมิทศทิศสัจธรรมในอนุตตรภาวะนี้สูงส่งที่สุด อยู่เหนือกามภูมิ รูปภูมิ อรุปภูมิ และสวรรค์เก้าชั้น อีกทั้งลุ่มลึกครอบคลุมไปถึงนรกทั้งสิบขุม

   สัจธรรมแห่งอนุตตรภาวะแทรกซอนไปทั่วทุกที่ ครอบคลุมไปทั่วฟ้าดินและสามภพทำให้สัตว์ปีก สัตว์น้ำ สัตว์บก และพืชต่างดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หากสรรพชีวิตไม่ได้อยู่ในหลักสัจธรรมก็มิอาจดำรงชีวิตอยู่ได้

   สัจธรรมที่ควบคุมการโคจรจักรวาลและฟ้าดินนี้ ฝืนให้ชื่อว่า ธรรมะหรือเจินอี (เจินอี เป็นคำกล่าวในศาสนาเต๋า หมายถึง ประคองรักษาจิตเดิมที่บริสุทธิ์ไร้การปรุงแต่ง) ธรรมะเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง เป็นสภาวะเดิมของอนุตตรภาวะที่เป็นนิรันดร์ ธรรมะอยู่ที่ฟ้าฟ้าสดใส การเคลื่อนโคจรเป็นไปตามธรรมชาติ มีดวงดาว ตะวัน จันทราเคลื่อนโคจรมีสภาวะอินหยังในปฐมภาวะไหลเวียนไปทั่ว ธรรมะอยู่ที่ดิน ทำให้เกิดการก่อตัวผนึกขึ้นเป็นภูเขา ลำธาร แม่น้ำ ทะเล อีกทั้งชโลมชุบเลี้ยงสรรพชีวิต การก่อเกิดและเจริญเติบโตของสรรพสิ่ง ล้วนอาศัยพลังธรรมชาติมาเสริมสร้าง ธรรมะอยู่กับมนุษย์ มนุษย์ก็มีชีวิต จึงมีความรู้สึกนึกคิด มีพฤติกรรมต่างๆ ทุกคนต่างก็มีธรรมญาณที่มาจากอนุตตรภูมินี้แล้วแต่น่าเสียดายที่ไม่รู้จักที่จะย้อนกลับมาแสวงหา จึงไม่อาจหลุดพ้นเกิดตายได้

   ปราชญ์ พุทธ เต๋า สามศาสนาหลักเดียวกัน สามศาสดา ล้วนรับพระบัญชาจากแม่ฯมาฉุดช่วยชาวโลก สิ่งที่ถ่ายทอดล้วนคือหลักวิถีจิตอันอัศจรรย์ที่ไร้รูปลักษณ์ จิตญาณนี้ ศาสนาเต๋าเรียกว่า ญาณวิเศษ
ศาสนาพุทธเรียกว่า วัชรญาณ ศาสนาปราชญ์เรียกว่า ธรรมญาณ ถึงแม้ชื่อที่เรียกจะไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นสิ่งเดียวกัน หลายพันปีที่ผ่านมา ศาสนามีหลากหลาย แต่สัจธรรมมีเพียงหนึ่งเดียว เป็นเอกวิถีที่เทพเซียนพุทธะอริยะถ่ายทอดจากปากสู่จิต ล้วนคือหลักวิถีจิตนี้

   เมื่อเข้าใจหลักวิถีจิตก็สามารถกระจ่างแจ้งแทงตลอดในสรรพธรรมและพระสูตรคัมภีร์ทั้งปวง ตั้งแต่สามศาสดากลับคืนสู่อนุตตรภูมิแล้ว ก็หยุดการถ่ายทอดวิถีจิต เหลือไว้เพียงพระสูตรคัมภีร์กล่อมเกลาชาวโลก จวบจนบัดนี้ประมาณสามพันปีแล้ว ไม่มีใครเข้าใจถึงความอัศจรรย์เร้นลับของธรรมอย่างแท้จริง ลัทธิศาสน์มากมายต่างเฟื่องฟู แต่ก็ยังไม่ได้นำพาเข้าสู่หนทางตรง หลักวิถีจิตนี้จึงไม่มีใครเข้าใจ

   บัดนี้ยุคไป๋หยัง สนองเกณฑ์วาระเปิดการปกโปรดครั้งใหญ่ วิถีธรรมโปรดลงสู่โลกงานชุมนุมหลงฮว๋าครั้งใหญ่นี้ ฟ้าเบื้องบนจะเลือกเฟ้นผู้มีคุณธรรมและความสามารถ เพื่อแพร่ประกาศธรรมวิถียุคไป๋หยังให้รุ่งเรืองกว้างไกล ด้วยการสืบสานสัจธรรมแห่งอนุตตรภูมิ แพร่ประกาศวิถีจิตของสามศาสนา อีกทั้งจุดประกายให้แก่เวไนยตื่นแจ้งในจิตญาณร่วมกันขึ้นสู่เรือธรรม ปริศนาแห่งอนุตตรยานที่พระอริยะทั้งหลายไม่ถ่ายทอดกันโดยง่าย ใครเล่าจะเข้าใจ? คิดจะแสวงธรรมจริงและได้รับการถ่ายทอด ก็ต้องรีบเสาะหาบรรพจารย์กงฉังผู้เป็นวิสุทธิอาจารย์ ผู้ที่ได้รับธรรมแล้วจะต้องอาศัยสิ่งสมมุติบำเพ็ญจิตญาณ รีบเร่งสร้างกุศลบ่มเพาะคุณธรรม ยิ่งจะต้องแยกแยะให้กระจ่างชัดว่าอะไรจริงอะไรปลอม มีเพียงธรรมะเท่านั้นที่ดำรงอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกสุดท้ายก็คืนสู่ความว่าง

   มนุษย์อยู่ในโลกนี้ เล็กมากเหมือนดั่งเมล็ดข้าวที่อยู่กลางมหาสมุทร ถูกเกลียวคลื่นซัดไปซัดมา พาให้หลงทิศทาง อีกทั้งจิตญาณยังลุ่มหลงไปกับสุรา นารี พาชีกีฬาบัตร ปล่อยไปตามอารมณ์เจ็ด และตัณหาหก ยิ่งทำให้จิตญาณอันสว่างไสวถูกบดบังไป

   คลื่นทะเลแห่งความอยากซัดสาดถาโถมไม่เคยหยุด ความรักความผูกพันคือชื่อคล้องยากพ้นจากพันธนาการ โลภหลงอยู่ในความฟุ้งเฟ้อชื่อเสียงลาภยศ ล้วนเป็นการผูกมัดตนเองทั้งสิ้น ถึงแม้ว่ายศบรรดาศักดิ์ความร่ำรวยเหมือนดั่งฟ้าแลบ หรือประกายไฟที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่กรรมเวรที่ก่อไว้นั้น ไม่ว่าผ่านไปกี่ภพกี่ชาติก็ยากหลุดพ้นได้ ผู้ที่จิตลุ่มหลงไขว่คว้าแต่สิ่งจอมปลอมไหนเลยจะถ่องแท้ว่าโลกโลกีย์นั้นเป็นสิ่งสมมุติ? ล้วนเห็นสิ่งสมมุติเป็นสิ่งจริงแท้ หาความสุขท่ามกลางทะเลทุกข์ มีชีวิตที่ต่ำต้อยดั่งมดดั่งแมลงเช่นนั้น

   คนมีชีวิตอยู่ประมาณร้อยปี แต่ก็เหนื่อยยากลำเค็ยถึงสามหมื่นหกพันวัน ทำไมไม่ลองคิดดูว่ากายใจได้สงบสุขสักกี่วัน? ตั้งแต่วัยเด็กถึงวัยกลางคนจวบจนแก่เฒ่า และถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ลิ้มลองมาทุกรสชาติของชีวิต หากไม่ใ่ช่รู้สึกเคว้งคว้างก็รู้สึกหดหู่ใจ ใครเล่าจะหลบพ้นทุกข์ระทมแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย วันเวลาที่ไร้เยื่อไย จากเด็กน้อยชั่วพริบตาเดียวก็กลับกลายเป็นคนเฒ่าชรา

   เกิดมาก็มาแต่ตัว ตายไปก็ไปแต่ตัว อะไรก็นำไปไม่ได้ สุสานยังคงอยู่ แต่วิญญาณต้องลงขุมนรก ถึงแม้จะเป็นขุนนางตำแหน่งสูงส่งเพียงใด กฏสวรรค์ตัดสินบุญบาปด้วยความยุติธรรม กฏแห่งกรรมทำเองรับเอง จะต้องไปรับกรรมโดยไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเดรัจฉานนั่นก็ไม่อาจเลือกเองได้

   ตั้งแต่เกณฑ์ขาลจนบัดนี้เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว เกิดตายเวียนว่ายไม่สิ้นสุด ยากจะพรรณาถึงความกล้ำกลืนและความเศร้าวังเวง วิญญาณออกจากร่างนี้ไปเข้าร่างนั้น เหมือนดั่งย้ายบ้านเปลี่ยนที่พักพิง บางชาติเกิดเป็นชายบ้างสกุลจาง บางภพเกิดเป็นหญิงสกุลหลี่บทบาทการแสดงของชีวิตปิดฉากเหลือแต่ความว่างเปล่า ยิ่งเวียนว่ายแปรเปลี่ยนก็ยิ่งลุ่มหลงยิ่งถลำลึกก็ยิ่งตกต่ำ ลืมสิ้นแม่ฯผู้ให้จิตญาณแก่เจ้า

   มนุษย์มาจากฟ้าเบื้องบน ล้วนคือญาณที่แบ่งมาจากแม่ฯ ดวงธรรมญาณนี้แม้ว่าจะเป็นอริยะก็ไม่ได้มากขึ้น เป็นปุถุชนก็ไม่ได้น้อยลง มีต้นกำเนิดเดียวกัน หากสามารถตื่นแจ้งแล้วคืนสู่จิตเดิมได้ ก็สามารถบรรลุเป็นอริยะปราชญ์สถิตอยู่ในแดนสุขาวดีตลอดไป หากยังหลงใหลอยู่ในโลกีย์เห็นปลอมเป็นจริง ก็คือปุถุชนต้องรับความทุกข์ทรมานอยู่ในความมืดมิดตลอดไป

   อริยะปราชญ์เซียนพุทธะล้วนบำเพ็ญสำเร็จมาจากมนุษย์ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นว่าพอเกิดมาก็เป็นเซียนพุทธะเลย หวังว่าลูกทั้งหลายเร่งรีบถ่องแท้ในจริงและปลอม แปรเปลี่ยนจากลุ่มหลงเป็นตื่นแจ้ง กราบขอรับวิถีธรรมจากวิสุทธิอาจารย์ ฟื้นฟูโฉมหน้าเดิมคืนสู่ต้นกำเนิด กลับมาหาแม่ฯ

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

มหาธรรมฟ้าปางก่อน

     มหาธรรมฟ้าปางก่อน เรียกย่อว่า “ธรรมะ” หากเราสังเกตอย่างละเอียด เมื่อจิตตื่นแจ้งแล้ว ก็จะค้นพบว่าปรากฏการณ์มากมายหลากหลายในท่ามกลางจักรวาลนี้ มีความซับซ้อนแต่เป็นระเบียบและการหมุนเวียนของสรรพสิ่งอีกทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกของธรรมชาติก็มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ผู้ควบคุมที่แท้จริงของฟ้า ดิน มนุษย์ และสรรพสิ่งสรรพชีวิตนั้น ก็คือธรรมะ ธรรมะดำรงอยู่ก่อนที่จะเกิดฟ้าดิน ดั้งนั้นจึงเรียกว่า “มหาธรรมฟ้าปางก่อน” 

    "ธรรมะ" นั้นก็คือหลัก หลักก็คือสัจธรรม ก่อนที่ฟ้า ดิน คน สรรพสิ่งยังไม่ก่อเกิด ธรรมะก็ดำรงอยู่แล้ว และธรรมะสามารถก่อเกิดฟ้า ดิน คน และสรรพสิ่งต่างๆนานา เมื่อ ฟ้า ดิน คน และสรรพสิ่งสิ่งสูญสลายแล้ว ธรรมะไม่ได้สูญสลาย เหตุเพราะธรรมะไม่มีไปไม่มีมา ไม่มีเกิดและไม่มีดับ แสดงให้เห็นถึงสัจธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของจักรวาล

     องค์ธาตุแห่งธรรม ก็คือองค์ธาตุของธรรมชาติในจักรวาล เมื่อเริ่มแรกยังเป็นสภาวะคละเคล้า ในจักรวาลเป็นเพียงสุญตาแยบยลไม่มีฟ้า แผ่นดิน มนุษย์ และไม่มีภาษาและอักษร เนื่องจากมหาธรรมไร้นาม จึงขอฝืนเรียกนามว่า “ธรรมะ” คำนี้มาเปรียบเปรย เราจึงไม่อาจคิดพิจารณาหรือใช้ภาษา อักษรใดๆ มาเปรียบเปรยธรรมะได้

  หลังจากฟ้าดินก่อเกิดแล้ว ธรรมะเป็นหลักของสรรพสิ่งในจักรวาล ทำให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลายมีการหมุนเวียนได้อย่างสอดคล้องกัน และเป็นระเบียบไม่สับสน นี่ก็คือคุณประโยชน์อันแยบยลแห่งธรรม
   
     "ธรรมะ" ยิ่งใหญ่แต่หลักละเอียดอ่อน แม้ว่าทุกขณะเวลา พวกเราไม่ได้ห่างจากองค์ธาตุและคุณประโยชน์อันแยบยลแห่งธรรม แต่การจะเข้าใจธรรมะนั้นมิใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุนี้เมื่อสองถึงสามพันปีก่อนพระอริยะในแต่ละศาสนาสนองเกณฑ์วาระอวตารสู่โลก ต่างโปรดฉุดช่วยในแต่ละพื้นที่ ตามความเหมาะสมของกาลฟ้า สถานที่ และรากบุญของเวไนย คงไว้ซึ่งหมื่นพันคัมภีร์ ถ่ายถอดธรรมวิถีมากมายในการบำเพ็ญขจัดความชั่วมุ่งสู่ความดี อีกทั้งยังทำให้เวไนยได้เข้าใจว่า ในท่ามกลางความลี้ลับนั้น มีผู้ควบคุมสรรพสิ่งในจักรวาล ซึ่งอาจเรียกว่า “พระเจ้า” หรือ “พระผู้เป็นเจ้า” เราเรียก “ธรรมะ” หรือ “พระอนุตตรธรรมมารดา” แม้พระนามจะแตกต่างกันแต่มีความหมายเดียวกัน เมื่อเราได้เข้าใจและรู้ซึ้งในธรรมอีกขั้นหนึ่งแล้ว ก็จะรู้ว่า...แท้ที่จริงทุกสิ่งทุกอย่างในท่ามกลางฟ้าดินนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากองค์ธาตุและคุณประโยชน์อันแยบยลแห่งธรรมประกอบกัน

     ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าธรรมะจะเป็นต้นกำเนิดและครอบคลุมไปถึงแก่นทุกศาสนาแต่ก็ไม่ได้จำกัดพรมแดนของศาสนา และ “พระเจ้า” หรือ “องค์ธรรมมารดา” ไม่เพียงเป็นศูนย์รวมความศรัทธาอันสูงสุดของทุกศาสนาแล้ว ยังเป็นต้นกำเนิดและเป็นผู้ควบคุมสูงสุดของสรรพสิ่งสรรพชีวิตท่ามกลางฟ้าดิน อีกทั้งเป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาลในจักรวาลนี้

     ดังนั้นวันนี้เรามีโอกาสได้เข้าใจว่า อะไรคือ “มหาธรรมฟ้าปางก่อน” ไม่เพียงแต่ค้นพบศูนย์รวมความศรัทธาอันสูงสุดของทุกศาสนาแล้ว ยังได้ค้นพบต้นกำเนิดและผู้ควบคุมสูงสุดในจักรวาลอีกทั้งยังเป็นเบื้องต้นของความเข้าใจสัจธรรมสูงสุดในจักรวาล



วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ธรรมะกับเราเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

     คุณวิเศษของธรรมะอยู่ที่ความยิ่งใหญ่ครอบคลุมทุกสิ่ง ความละเอียดเล็กจนเข้าได้ทุกที่ หลังจากฟ้าดินก่อเกิดแล้ว ธรรมะแทรกซอนไปทั่วฟ้าดินและสรรพสิ่ง ทำให้การเคลื่อนโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างเป็นไปตามกาลเวลา การหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนของฤดูกาล การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสรรสิ่งล้วนมีระเบียบกฏเกณฑ์

     และสิ่งล้ำค่าที่สุดก็คือ ผู้ควบคุมฟ้าดินและสรรพสิ่งนี้ ยังควบคุมทั่วร่างกายของพวกเรา นั่นเรียกว่า "ธรรมญาณ" ทำให้พวกเรามองเห็น ฟังได้ กินได้ เคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ ดังนั้นพวกเราไม่เพียงต้องขวนขวายศึกษาหลักธรรมอันสูงสุดของฟ้าดินแล้ว ยิ่งต้องหันกลับมาทำความเข้าใจสัจธรรมที่มีมาแต่เดิมในตัวเรา ฉะนั้น "มหาธรรมฟ้าปางก่อน" ก็คือ "การถ่ายทอดสัจธรรมแห่งญาณเดิม" นั่นเอง

     คุณวิเศษของธรรมะ ไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีอะไรลึกลับ หายากหรือมีอะไรพิเศษ แต่อยู่ที่ความเป็นปกติธรรมดา ทว่าทุกเวลาพวกเรากลับไม่อาจออกห่างจากองค์ธาตุและคุณประโยชน์อันแยบยลแห่งธรรมได้เลย

     หากพวกเราย้อนมองตนเอง ก็จะรู้ว่าโครงสร้างร่างกายของพวกเรานั้นมีความสลับซับซ้อนและน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง แต่ก็เกี่ยวโยงไปถึงบทบาททางกายภาพของข้อต่อและปฏิกิริยาของพลังงาน การถ่ายทอดสัญญาณข้อมูลของระบบประสาท ตลอดจนการแยกและวินิจฉัยและถ่ายทอดคำสั่งของสมอง ซึ่งตามมาตรฐานด้านวิทยาการและเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบัน ก็ยังไม่สามารถที่จะอธิบายได้ทั้งหมด

     แต่ความสามารถของพวกเราที่กระทำออกมานี้ กลับไม่มีผลกระทบอย่างไรต่อความแตกต่างในระดับความรู้ความเข้าใจของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการที่มีความรู้มากมาย หรือคนหาบเร่ที่ไม่รู้หนังสือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือทารกแรกเกิด ล้วนเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย ทุกคนมีมาตั้งแต่เกิด รู้ได้โดยไม่ต้องพิจารณาทำได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ เป็นปรีชาญาณและสัญชาตญาณที่ไม่มีการเพิ่มหรือลด นั่นก็คือ "ธรรมะ" ที่ควบคุมตัวเรา

     ความรู้ความสามารถที่พวกเราได้จากการศึกษานั้น บางทีอาจจะลืมไปหรือห่างเหินไปบ้าง แต่องค์ธาตุและประโยชน์อันแยบยลแห่งธรรมนั้น ไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ต้องคิดพิจารณา ในวงกว้างสามารถควบคุมการเพิ่มหรือลดของสรรพสิ่งในจักรวาล ในวงแคบสามารถควบคุมการเห็น การฟัง การพูด การเคลื่อนไหวของร่างกายเรา เป็นสิ่งที่พวกเรามีอยู่แต่ไม่รู้ว่ามี ใช้ประโยชน์อยู่แต่ไม่รู้ว่าได้ใ้ช้ แต่ทุกขณะกลับขาดไม่ได้ สิ่งที่ไม่เพิ่มไม่ลดนี้ เดิมทีก็มีพร้อมสมบูรณ์อยู่แล้ว เป็น "ธรรมะ" ที่มีอยู่ในตัวเรา ก็เพราะอยู่ในตัวเรา จึงเรียกว่า "จิตญาณเดิมแห่งองค์ธรรมมารดา"

     พวกเราได้เข้าใจถึง "ธรรมะ" นี้ที่ควบคุมฟ้าดินและสรรพสิ่งในตัวของเราก็มี บทบาทของธรรมไม่ได้มีมากขึ้นหรือลดน้อยลงไป เพราะการยกย่องหรือไม่ยอมรับจากพวกเรา ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ สีผิวสัญชาติ การนับถือศาสนา หรือร่ำรวยสูงศักดิ์ฺ ยากจนต่ำต้อย ล้วนไม่มีความแตกต่าง

     ดังนั้น เมื่อพวกเราได้รับ "มหาธรรมฟ้าปางก่อน" ไม่เพียงค้นพบต้นกำเนิดของจักรวาล ยังค้นพบตัวตนแท้ที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เพียงได้รู้จักผู้ควบคุมสูงสุดของจักรวาล ยังได้รู้จักผู้ควบคุมที่แท้จริงในตัวเรา ไม่เพียงได้ค้นพบหลักธรรมอันสูงสุดของจักรวาล ยังค้นพบสัจธรรมและปรีชาญาณ สัญชาตญาณที่มีอยู่แล้วในตัวเราด้วย