วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

"ธรรมะ"....หลักสัจจอนุตตรธรรม


ท่ามกลางฟ้าดิน การทุกอย่างล้วนมีหลัก มีเหตุมีผล

สรรพสิ่ง ล้วนมีแนวทางครรลองของสัจจธรรมที่เป็นกฎเกณฑ์ โดยเฉพาะชีพจรการสืบสายของวิถีธรรม ย่อมจะต้องมีเกณฑ์กำหนดของธรรมชาติ ควบคุมให้คงอยู่ หรือสูญสิ้นไปในจักรวาล

"ธรรมะ" ไร้รูปลักษณ์ แต่ก่อนเกิดอุ้มชูฟ้าดิน

"ธรรมะ" ปราศจากเยื่อใยสัมพันธ์ แต่เคลื่อนโคจรตะวันเดือน

"ธรรมะ" ปราศจากนามรูป แต่ก่อเกิดฟูมฟักสรรพสิ่ง สรรพชีวิต เรามิรู้นามเรียกของสิ่งนั้น จึงจำใจให้ชื่อว่า "ธรรมะ"

"ธรรมะ" คือ หลักของฟ้ามหาจักรวาล เป็นหลักสัจจอนุตตรธรรม

หลักสัจจอนุตตรธรรม คือ ภาวะวิเศษสูงสุด ที่เป็นอยู่ มีอยู่อย่างเที่ยงแท้

เมื่อหลักสัจจอนุตตรธรรม หรือ ภาวะสูงสุด ที่เป็นอยู่ มีอยู่อย่างเที่ยงแท้นั้น ลงมาประจุอยู่ในตัวคน เราเรียกว่า พุทธจิต หรือ จิตเดิมแท้

ดังนั้น ผู้ที่ประพฤติตนด้วยจิตเดิมแท้ จึงได้ชื่อว่า เป็นคนมีธรรมะ

"ชีวิตจริงจากฟ้า เรียกว่า จิตเดิมแท้"

ประคองรักษาจิตเดิมแท้ไว้ได้ เรียกว่า เป็นคนมีธรรมะ

ธรรมะ ไม่มีรูปลักษณ์ กลิ่น เสียง ไม่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ดับสูญไป ไม่เพิ่มขึ้น ไม่ลดลง ดูเหมือนเปล่า แต่มิใช่ ดูเหมือนมีอยู่ แต่หามีไม่ มิอาจนิยามคำชี้ชัดได้เลย ได้แต่บอกว่า "มันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง"

พระธรรมาจารย์เคยตรัสไว้ว่า....

"ธรรมะ" นั้นมิอาจกล่าวขาน เมื่อแสดงด้วยวาจาจะห่างความเป็นจริง เมื่อเอ่ยปากก็จะผิดไป แต่ทว่าไม่กล่าวขาน "ธรรมะ" จะกระจ่างได้อย่างไร?

พระอริยเจ้าตรัสไว้ว่า.....

"เมื่อฟ้าดินเริ่มก่อเกิด ยังคละเคล้าเหมือนกลุ่มหมอกควัน รวมตัวอยู่อย่างเงียบงัน มีพลังอันเหมือนมิได้ก่อผลอันใดแฝงอยู่ภายในอย่างเต็มเปี่ยมมหาศาล"

พลังนั้น เหมือนว่างเปล่าแต่แยบยลศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง พลังเงียบงันนั้น เมื่อเคลื่อนไหว จะแปรสภาพการก่อเกิดได้นับไม่ถ้วนกระบวนทาง !

พลังนั้นเมื่อแผ่ขยาย จะกว้างไกลออกไปโดยรอบ ทั้งทางด้านออก ตก ใต้ เหนือ บน ล่าง แต่เมื่อรวมตัวกันกลับเข้ามา จะเหมือนแฝงเร้น จนไม่อาจเห็นได้ !

ที่สุดของความกว้างใหญ่ที่แผ่ขยายออกไปโดยรอบนั้น คือ ไม่มีอะไรอยู่ภายนอกความใหญ่นั้นได้อีก !

ที่สุดของความเล็กที่แฝงเร้นไว้ คือ ไม่มีสิ่งที่เล็กกว่าแฝงอยู่ภายในได้เลย !

สิ่งศักดิ์สิทธิ์วิเศษสุดนี้ แทรกซอนปรุโปร่งถ้วนทั่วอยู่ในทุกสิ่ง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์วิเศษสุดนี้ ยิ่งใหญ่จนสามารถโอบอุ้มฟ้าดินทุกสิ่งไว้ได้ มหิทธานุภาพอันมิอาจประมาณนั้น ครอบคลุมทุกสิ่งอย่าง ให้การก่อเกิดทุกสิ่งอย่าง ได้ประหนึ่งบันดาลให้เป็นไป

พระอริยเจ้าผู้รู้ จึงได้ถวายพระนามต่างๆในความหมายใกล้เคียงกันว่า "พระผู้สร้าง" "พระผู้เป็นเจ้า" "พระแม่องค์ธรรม" "พระอนุตตรธรรมเจ้า" "พระมหามารดาแห่งหมื่นโลกธาตุ ฯลฯ"

จึงกล่าวได้ว่า...

"ชีวิตจริงของคน คือ ธรรมะ คือ พลังงานวิเศษสุดสวนหนึ่งจาก "พระผู้สร้าง" นั่นเอง

"ชีวิตจริง หรือพลังงานวิเศษสุด ที่ประจุอยู่ในส่วนศีรษะของคน จึงมีมหิทธานุภาพในการคิดค้นสร้างสรรค์ หรือบงการอวัยวะส่วนประกอบต่างๆของร่างกาย ให้ประกอบการได้ไม่จำกัด แต่พลังงานไม่มีตัวตน คนทั่วไปจึงเห็นแต่ความสำคัญของสังขารร่างกาย ไม่เห็นความสำคัญของพลังงานอันเป็นชีวิตจริง

ชีวิตจริงในตัวตนหากยังคงดำรงธรรมานุภาพแต่เดิมทีไว้ได้ เรียกว่า "ธรรมญาณ" หรือ"จิตเดิมแท้".....

หากชีวิตจริง ยังคงดำรงธรรมานุภาพ และพลานุภาพ อันเป็นพลังงานอันวิเศษสุดแต่เดิมทีไว้ได้ ทันทีที่ละทิ้งกายสังขาร พลังงานอันวิเศษสุดนั้น ย่อมกลับคืนไปสู่สภาวะเดิม ณ เบื้องบน ซึ่งเรียกว่า ได้บรรลุธรรม !

การค้นหา "ธรรมญาณ" "จิตเดิมแท้" หรือ "ชีวิตจริง" จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งของทุกตัวคน !

อมตะพุทธะจี้กงตรัสไว้ว่า

"ธรรมะ" คือ หลักอันเป็นเหตุเป็นผล แม้ไม่กระจ่างต่อหลักเหตุ-ผล จะบำเพ็ญธรรมะในตนได้อย่างไร? ฉะนั้น หากจะบำเพ็ญ ก่อนอื่น จะต้องกระจ่างในหลักเหตุ-ผล เป็นเบื้องต้นเสียก่อน จากนั้น จึงอาจบำเพ็ญจริงได้.....

จึงอาจกระจ่างในความวิเศษสูงส่ง ฟื้นฟูสภาวะเดิม

จึงอาจก้าวขึ้นฝั่ง จนสิ้นการเวียนว่าย กลับคืนสู่สภาวะวิมุตติสุขได้ตลอดไป.....

"สรรพสิ่ง มีต้นมีปลาย การทุกสิ่ง มีผลจากเหตุ รู้ความเป็น ก่อน หลัง ต้น ปลาย ก็จะใกล้กับธรรมะ"

ธรรมวัจนะนี้ หมายถึง สรรพสิ่ง สรรพชีวิตในมหาจักรวาล ล้วนมีรากฐานอันเป็นเบื้องต้น ไปสู่เบื้องปลาย หากย้อนต้นค้นหาความเป็นมาของชีวิตคนให้ถึงแก่นแท้ได้ ธรรมะในตนก็จะกระจ่างได้

ฉะนั้น บำเพ็ญ"ธรรมะ" จึงจำเป็นจะต้องรู้ว่า "ธรรมะ" คือ อย่างไร ?

เมื่อรู้ต้นกำเนิด รู้รากฐานที่มาของธรรมะ รู้รากฐานของชีวิตจริงจากฟ้า ค้นหาความเป็นมาจนเข้าใจกระจ่างแล้ว จึงจะบังเกิดจิตศรัทธา ก้าวสู่วิถีธรรม มั่นคงอยู่ในวิถีธรรม จึงจะมุ่งหมาบปฏิบัติบำเพ็ญตลอดไป จึงจะบรรลุธรรมได้ในที่สุด......





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น