วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

เดิมทีอนุตตรภาวะปราศจากรูปนาม แต่จำต้องกำหนดคำว่า "ธรรมะ"


อันที่จริง อนุตตรภาวะ...ปราศจากรูปนามแต่จำต้องกำหนดคำว่า "ธรรมะ" 

"มรรค" ( มีองค์แปด คือเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำการชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ และสมาธิชอบ ) เดิมทีมิมีข้อวัตร จำต้องจัดองค์ประกอบเพื่อโน้นนำจิต ดังคำกล่าวว่า...

"ขาดความเป็นธรรมะ  เมื่อเป็นวจนะกลางอ้าง 
เมื่อจิตหลุดพ้นพลัน    สงขารก็ว่างเปล่า" 

หมื่นพันธรรมารมณ์จึงเกิดดับด้วย "จิตภาวะ" ฉะนี้ เหตุปัจจัยจึงไม่อาจทำให้จิตภาวะเปลี่ยนไป จิตภาวะจะไม่เปลี่ยน แม้ได้รับเหตุปัจจัย อีกทั้งไม่มัวหมอง จะประภัสสรปราศจากอุปสรรค เป็นสัพพัญญูรู้ธรรมธาตุ ร่วมมหากรุณาหนึ่งสภาวะเดียวกัน บริบูรณ์ งดงาม เป็นมหาเมตตาเหนือเหตุเนื่องนำ ร่วมศักยภาพกับอนุตตรธาดา ( คือพระแม่องค์ธรรม พระผู้สร้าง ฯลฯ )

ฟ้าดิน ก่อกำเนิดสรรพสิ่ง เวียนธรรมจักร เบิกหนทางอมตะ รู้แจ้ง ทั้งนี้ มีบรรพจารย์สืบต่อตามสมัย ศาสดาทั้งห้าสนองบัญชาถ่ายทอดโดยสัตย์จริง

กำหนดการของฟ้าดำเนินมาถึง "เอี๋ยนคัง" เป็นบรรจบกาลที่เจ็ด กำหนดกาลมะเมียคาบเกี่ยวมะแม ความรู้ของผู้คนเบิกบาน อารยธรรมล้ำเลิศ สมบูรณ์พูนสุขที่สุดกับวัตถุอยู่กิน ดังแดนดินบนวิมาน ที่น่าสงสารคือ หลงเปรมปลื้มกับอารมณ์รูปกาย จนจิตใจเคว้งคว้างว่างเปล่า สูญเสีย "จิตภาวะ" อันเลิศล้ำเหนือสามโลกของตน

ดังนั้นมโนธรรมจึงไม่ฟื้นสว่างใส ชีวิตเปลี่ยนไปเป็นมืดดำคร่ำนรก ขาด "คุณธรรม" ซึ่งสำคัญเช่นกระดูกเอ็นที่ค้ำคูณรูปกายให้อยู่ในกรอบ

บัดนี้ ชีวิตจิตญาณจึงเคว้งคว้างขาดหลักอาศัย เหมือนล่องลอยอยู่ในทะเลวิญญาณ ประหนึ่งคนไม่มีหัวใจที่ปล่อยกายไปตามยถากรรม เมื่อหลักธรรมของจิตแฝงต่ำ สัจธรรมก็ยากจะปรากฏ พฤติกรรมย่อมออกนอกลู่ทาง และสร้างบาปเวรแห่งการเวียนว่าย อนิจจา วาสนาหรือทุกข์ภัยมิได้เปิดทาง แต่อยู่ที่ต่างก่อนำกันเอง

ใจฟ้าเมตตา จะหาเหตุเภทภัยให้มนุษย์มีหรือ ความทุกข์ร้อนเภทภัยในโลกขณะนี้ เป็นกรรมหมู่อันเป็นผลจากที่ทุกคนร่วมกันก่อมา น่าเวทนานัก

คัมภีร์มีคำกล่าวว่า... "จิตตนตนฉุดช่วย พุทธะมิอาจช่วย" 

บาปเวรของตน จะต้องแก้ไขลบล้างด้วยตนเอง ปุถุชนคนหลง...ได้แต่พึ่งพาอาศัยสิ่งนอกกาย ไม่รู้จักจิตตน ไม่กระจ่างในจิตภาวะธรรมญาณ ของตนอันเป็นหนึ่งเดียวกันกับอนุตตรธรรมมารดา หวังแต่จะให้พุทธะมาฉุดช่วย แต่ไม่พิจารณาก้มหน้าคราดไถพุทธจิตเนื้อนาตน เช่นนี้ จะมีวันคืนกลับร่วมสมานกับธรรมมารดาได้หรือ 

ในครั้งกระโน้น พระแม่องค์ธรรมได้บัญชาแบ่งห้าศาสดาใหญ่(เต๋า ปราชญ์ พุทธ คริสต์ อิสลาม) ให้สืบสายอริยะ สืบต่อบรรพจารย์แต่ละสมัยในสหาโลก ถ่ายทอดสัจธรรมแทนฟ้าดิน ก่อตั้งศาสนานำพาสาธุชน แต่ละภาคพื้น

ทุกหลักการที่ยึดถือ ก็คือสัจอนุตตรหฤทัยแม่ เป็นสุญตาอันวิเศษ ตามเหตุแห่งบุญวาระอันสมควรสำหรับผู้คนในแต่ละภาคพื้นดินแดน เพื่อง่ายแก่การสื่อความ ชาวโลกจึงจัดทำคัมภีร์หลักศาสนาสืบต่อมา ดั่งบันไดฟ้าพาชาวโลกก้าวขึ้นสัมมาวิถีอันจีรัง

แต่น่าเสียดายที่ใจคนลุ่มหลง น้อยนักจักรู้แจ้งในสัจธรรมความเป็นหนึ่งเดียว จึงต่างแบ่งสถานภาพจับจ้องกัน ปิดกั้นด้วยกำแพงเหล็ก บ้านใครบ้านมัน อีกซ้ำห้ำหั่นทำลายกัน อนิจจา เจ้าล้วนพี่น้องร่วมมารดา สัมพันธ์ดั่งแขนขา แต่กลับเข่นฆ่ากันดังเชื้อไฟ ต้นถั่วต้มถั่วเอง เช่นนี้มีหรือที่พระแม่จะทนได้

พระแม่องค์ธรรมรวดร้าวปวดใจ จึงได้บัญชาพระบุตรศรีอาริย์ จี้กง กวนอิมฯ พร้อมกันสนองพระโองการแบกภาระร่วมเก็บงานสายธรรมนับหมื่นที่แยกย้าย กลับคืนสู่อริยกิจต้นเดิมเดียวกัน

จากนั้นก็บัญชาพระบุตร กวน จาง หลวี่ เอวี้ย ( กวนอู จางเฟย หลวี่ต้งปิน เอวี้ยเฟย ) นำเหล่าเทพเจ้าประจำดวงดาว เป็นแนวหน้าแผ้วถางทางโลก ช่วยเก็บงานในธรรมกาลนี้

ฉะนั้น เมื่อโองการประกาศิตยุคขาวได้ประกาศ ทั้งสามโลกจึงต้องฟังพระบัญชา แสดงบุญญาฯ ชักนำสานุศิษย์ตน ให้ละชั่วบำเพ็ญธรรมเพื่อแปรเปลี่ยนภัยพิบัติ จนถึงสร้างสรรค์แดนสุขาวดีแดนพุทธะ ให้เป็นเอกภาพในโลกมนุษย์

ทุกคาบสมุทรคืนสู่สัจจวิถี ทั้งสี่ทิศและใจกลางต่างคืนสู่ต้นกำเนิดเิดิม

เมื่อถึงเวลานั้น พระบุตรศรีอาริย์จะต้องลงสู่แดนดินบำเพ็ญบรรลุมหาพุทธา และเวียนธรรมจักรภายใต้ต้นโพธิ

นาคะภัทรประทีป "หลงฮว๋า" 
กำหนดต้นจะฉุดช่วย เก้าพันหกร้อยล้านชีวิต 
กำหนดที่สองจะฉุดช่วย เก้าพันสี่ร้อยล้านชีวิต 
และกำหนดที่สาม อีกเก้าพันสองร้อยล้านชีวิต

ให้คนเดิมในวิสุทธิแดนดิน พร้อมกันสดับสัมมาสัมพุทธธรรม พ้นจากเวียนว่าย ตัดขาดจากเหตุปัจจัยในกิเลสกามทั้งปวง บรรลุเหนืออรหัตผลยิ่งขึ้นไป 

นี่คือฟ้าเบิกดิถีหลงฮว๋า อันเป็นเหตุที่มาของการฉุดช่วยพุทธบุตรในธรรมกาลยุคขาวอย่างกว้างขวางครั้งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น